วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558
วัฒนธรรมของอเมริกา
วัฒนธรรมของอเมริกา
เมื่อเดินทางมาถึงประเทศอเมริกา หากเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก คุณอาจจะพบกับสภาวะ Culture Shock ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวล้วนเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่คุ้นเคย วัฒนธรรมที่นี่มีความแตกต่างกับวัฒนธรรมเอเชียค่อนข้างมาก แต่การปรับตัวก็ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรนัก ขอแนะนำให้คุณศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ และเตรียมตัว
เตรียมใจไปก่อนล่วงหน้า ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณจะได้สามารถปรับตัวในระยะแรกได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการเริ่มต้นชีวิตในประเทศอเมริกา
เตรียมใจไปก่อนล่วงหน้า ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ คุณจะได้สามารถปรับตัวในระยะแรกได้ง่ายและเร็วขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับการเริ่มต้นชีวิตในประเทศอเมริกา
การปรับตัว
Culture Shock เป็นสภาวะปกติธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน ที่เดินทางไปต่างประเทศเป็นครั้งแรก คุณควรหาโอกาสพูดคุยกับคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอเมริกา หรือเคยไปเที่ยวที่นั่นมาก่อน เพื่อสอบถามข้อมูลที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตในเบื้องต้น และเรียนรู้จากประสบการณ์ของพวกเขาเหล่านั้น
อเมริกาเป็นดินแดนที่ผู้คนมากมายจากทั่วทุกมุมโลก เดินทางมาใช้ชีวิตและแสวงหาประสบการณ์ วัฒนธรรมของที่นี่จึงมีความหลากหลายมาก และหากแกะรอยการสืบเชื้อสายของคนอเมริกาย้อนหลังไป คุณจะพบว่าคนอเมริกาจำนวนมากมาจากประเทศอื่นเสียเป็นส่วนใหญ่
และถึงแม้ว่าคุณจะไม่ควรเชื่อทุกอย่างที่เห็นจากโทรทัศน์ แต่พฤติกรรมบางอย่างของชาวอเมริกันที่ปรากฏในโทรทัศน์ อย่างเช่นความผ่อนคลายและไม่เป็นทางการมากนัก ก็เป็นสิ่งที่คุณจะได้พบเจอเมื่อมาถึงอเมริกา ในขณะเข้าคิวเพื่อรอทำอะไรสักอย่าง คนแปลกหน้าที่ยืนอยู่คิวถัดไปอาจจะเข้ามาชวนคุยอย่างเป็นกันเอง ซึ่งคุณก็ไม่ควรตกใจหรือรู้สึกว่าถูกคุกคาม เพราะนี่คือวัฒนธรรมปกติทั่วไปของคนที่นั่น
การทักทาย
การทักทายของคนอเมริกันเป็นแบบสบายๆ ไม่มีพิธีรีตรองมากนัก คุณควรยิ้มทักทายและบอกชื่อจริง (First name) ในการพบเจอกันครั้งแรก และถ้าเป็นการพบกันหลายคน ก็อย่าลืมแนะนำเพื่อนในวงสนทนาให้รู้จักกันอย่างทั่วถึงด้วย การจับมือและพูดทักทายง่ายๆ ด้วยคำว่า Hello มักถูกใช้บ่อยครั้งในการเริ่มต้นบทสนทนา คนอเมริกันส่วนใหญ่จะพูดจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการหยาบคายหรือเสียมารยาท พวกเขาแค่ต้องการพูดอะไรให้ตรงจุด เข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนในครั้งเดียว ไม่ต้องเสียเวลาอธิบายความให้ยืดยาว
มารยาทบนโต๊ะอาหาร
เมื่อได้รับเชิญไปร่วมดินเนอร์ คุณอาจจะประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบว่า การดินเนอร์ของคนอเมริกันเป็นปาร์ตี้แบบสบายๆ ไม่เป็นทางการ ต่างจากการดินเนอร์ของชาวยุโรปที่ค่อนข้างเป็นทางการมากกว่า มารยาทบนโต๊ะอาหารของคนอเมริกันจึงไม่เคร่งครัดมากนัก ส่วนใหญ่ส้อมจะวางอยู่ทางขวามือ แต่ถ้าถนัดมือซ้ายมากกว่า คุณก็สามารถใช้มือซ้ายได้โดยไม่มีใครว่าอะไร หรืออาหารบางชนิดคุณอาจจะกินโดยการใช้มือหยิบเข้าปากก็ได้เช่นกัน แต่ก็มีสิ่งที่ควรรู้เล็กๆ น้อยๆ เช่น คุณควรจะรอให้เจ้าของบ้านเชิญเสียก่อน แล้วจึงค่อยไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
การแต่งกาย
คนอเมริกันในแถบตะวันออกมีแนวโน้มจะแต่งตัวเป็นทางการมากกว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบตะวันตกเล็กน้อย และคุณอาจจะรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่นักศึกษาอเมริกันใส่ไปมหาวิทยาลัย เพราะที่นี่ไม่มีเครื่องแบบเหมือนประเทศไทย นักศึกษาสามารถแต่งตัวได้ตามใจชอบ ซึ่งส่วนใหญ่จะเลือกใส่ชุดที่สบายๆ เหมาะสมกับสภาพอากาศและสวยงามตามแฟชั่น ไม่เน้นความเป็นทางการมากนัก แต่ในบางสถานการณ์อย่างเช่นวันที่มีสัมภาษณ์เพื่อเข้าศึกษาหรือสัมภาษณ์งาน คุณก็ควรจะเลือกเครื่องแต่งกายให้ดูสะอาดเรียบร้อย สุภาพ และน่าเชื่อถือ มากกว่าวันปกติทั่วไป
ชีวิตในมหาวิทยาลัย
ชีวิตนักศึกษาในอเมริกาแตกต่างจากชีวิตนักศึกษาในไทยมากพอสมควร บรรยากาศในห้องเรียนของที่นี่โดยรวม ค่อนข้างผ่อนคลายและไม่เป็นทางการมากนัก ที่สำคัญคือมหาวิทยาลัยในอเมริกา ยินดีต้อนรับนักศึกษาต่างชาติอย่างอบอุ่น และมีการวางระบบให้ความช่วยเหลือแก่นักศึกษาต่างชาติเป็นพิเศษด้วย
เพื่อช่วยให้คุณปรับตัวเข้ากับชีวิตและการศึกษาในต่างแดนได้ดียิ่งขึ้น เจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ยินดีให้ปรึกษาในเรื่องต่างๆ แก่คุณ โดยไม่ได้จำกัดว่าจะต้องปรึกษาแค่เรื่องการเรียนเท่านั้น หากมีปัญหาเกี่ยวกับการปรับตัวหรือรู้สึกไม่สบายใจจาก Culture Shock คุณก็สามารถปรึกษาพวกเขาได้เช่นกัน ตลอดระยะเวลาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย คุณจะได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีทั้งจากอาจารย์และเจ้าหน้าที่ เมื่อมีปัญหาใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเรียนหรือการใช้ชีวิต คุณสามารถปรึกษาพวกเขาได้ทันที พวกเขาพร้อมจะช่วยเหลือคุณอยู่เสมอ
วัฒนธรรม
วัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงในประเทศอเมริกามีหลายอย่างด้วยกัน แต่กีฬา ดนตรี และศิลปะ ถือว่าเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญของชาวอเมริกัน กีฬาอย่างอเมริกันฟุตบอล เบสบอล บาสเก็ตบอล และไอซ์ฮอกกี้ เป็นกีฬา 4 ชนิดที่ได้รับความนิยมอย่างมากในอเมริกา ในการแข่งขันโอลิมปิกครั้งที่ผ่านๆ มา อเมริกามักจะเป็นประเทศที่ได้รับเหรียญทองในกีฬาประเภทต่างๆ อยู่ในลำดับต้นๆ เสมอ และการเล่นกีฬาในมหาวิทยาลัย ก็ถือว่าเป็นส่วนสำคัญมากของวัฒนธรรมด้านกีฬาของอเมริกา
นอกจากเรื่องกีฬาแล้ว ประเทศอเมริกายังมีตลาดเพลงที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอีกด้วย และด้วยความที่อเมริกาเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมหลากหลายมาก แนวเพลงที่ได้รับความนิยมในอเมริกาจึงมีตั้งแต่ป็อป ร็อค ไปจนถึง แจ็ส ริทึม และบลูส์
ศิลปะแขนงอื่นๆ อย่างเช่น การแสดงมิวสิคอล การเต้น ศิลปะการแสดง แฟชั่น และการถ่ายรูป ก็เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากเช่นกัน ดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคนใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอเมริกา และเมืองนิวยอร์กก็มีชื่อเสียงด้านละครบรอดเวย์เป็นอย่างมาก บรอดเวย์มักจะเดินทางไปจัดการแสดงตามที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ดังนั้นไม่ว่าจะเรียนอยู่ที่เมืองไหน คุณก็ควรหาโอกาสดูละครบรอดเวย์สักครั้งในชีวิต เพราะมันจะเป็นประสบการณ์ที่ดีทีเดียว
หากมองในแง่ดี Culture Shock ก็คือการสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ที่คุณไม่มีวันได้พบเจอ ถ้าไม่ได้เดินทางมาใช้ชีวิตยังต่างประเทศ และถ้าได้รับการสนับสนุนที่ดีจากคนรอบตัว คุณก็จะสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมอเมริกันได้รวดเร็ว และมีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างแน่นอน
7 มารยาทห้ามทำในต่างประเทศ
7 มารยาทห้ามทำในต่างประเทศ
ถ้าเรามีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศ เราอาจจำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำจากวัฒนธรรมประเทศนั้นๆ ไม่งั้นจะเจ็บตัวได้ง่ายๆ เพราะอาจไปดูหมิ่นเขาอย่างไม่เจตนา ดังสุภาษิตไทยที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” พึงระวังไว้ กับ 7 มารยาทห้ามทำในต่างประเทศ จะได้ไม่ dead ก่อนวัยอันควร!!
อันดับ 7 ห้ามแบมือต่อหน้าชาวกรีก (Extend Your Hand, Palm Outward in Greece)
สากล: พอแล้วครับอิ่มแล้วครับ (เป็นภาษากายประมาณว่าผมไม่เอา)
กรีก: “นี่นายว่าหน้าฉันมีอุจจาระเรอะ!!”
กรีก: “นี่นายว่าหน้าฉันมีอุจจาระเรอะ!!”
ในประเทศกรีกการแสดงอากัปกิริยาโดยการแผ่ฝ่ามือแบบนี้ต่อหน้าชาวกรีกนั้น ถือว่าเป็นการดูถูกพวกเขา ที่มาคือ ในสมัยอาณาจักรไบเวนไทน์ Byzantine เมื่อใดที่อาชญากรทำผิดกฎอาญา คนนั้นจะถูกจับขังกรงและนำขึ้นขบวนแห่บนหลังม้าไปตามท้องถนน ผู้คุมจะทาสีดำที่ใบหน้าของนักโทษเพื่อประจาน ให้ต้องอับอาย ดังนั้นเวลาชาวกรีกเห็นเราทำมือแบบนี้ จะนึกว่าเรากำลังดูถูกพวกเขาอย่างมาก เพราะเราเปรียบพวกเขาเหมือนนักโทษที่น่าอับอายนี่เอง

อันดับ 6 ห้ามยกนิ้วโป้งที่ประเทศตะวันออกกลาง (Give the Thumbs-Up In The Middle East)
สากล: “กู๊ด มันยอดเยี่ยม”
ตะวันออกกลาง: “เดี๋ยวฉันจะเอานิ้วโป้งนายยัดรูตูดเอ็ง”
ตะวันออกกลาง: “เดี๋ยวฉันจะเอานิ้วโป้งนายยัดรูตูดเอ็ง”
มันไม่เหมาะอย่างยิ่งที่ยกหัวนิ้วโป้งในดินแดนตะวันออกกลาง แม้ว่าการยกนิ้วโป้งจะเป็นการแสดงกิริยาสากลก็เถอะ ที่มาไม่ระบุชัด แต่สัญลักษณ์การยกนิ้วหัวแม่มือนั้นเป็นสัญญาณที่เคยใช้มากว่าพันปีมาแล้วในสมัยโรมัน การต่อสู้ในสังเวียนเลือด (โคโลเซียมหรือเวทีประลอง) พวกนักต่อสู้ (ซึ่งเป็นทาส คนผิวดำ ยิว)ที่แพ้ในเวทีจะถูกตัดสินโดยเจ้าภาพว่าจะอยู่หรือตาย เจ้าภาพจะตัดสินโดยการยกนิ้วหัวแม่มือขึ้น-ลง ถ้ายกนิ้วโป้งขึ้นจะรอด แต่ถ้ายกหัวนิ้วมือลงนักสู้คนนั้นจะโดนฆ่า สัญลักษณ์นี้ถูกนำไปเผยแพร่ทั่วอาณานิคมของโรม อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นจริงความหมายดั้งเดิมของมันคงจะเป็น “อย่าฆ่านักโทษนะเว้ย เพราะตรูเป็นเจ้าชีวิตของพวกมัน”

อันดับ 5 มารยาทอาหารในไทย/ฟิลิปปินส์/จีน (Finish Your Meal In Thailand / The Philippines / China)
สากล: นี้เป็นอาหารอร่อย แต่ตอนนี้กระเพาะผมจุไม่ได้แล้วครับ ขออภัยด้วยที่กินเหลือ
เอเชีย: มองด้วยสายตาไม่พอใจ……
เอเชีย: มองด้วยสายตาไม่พอใจ……
ในประเทศจีน ถ้าเรากินหมดจนคำสุดท้าย มันแปลว่าเขาให้อาหารเราไม่พอกิน เพราะฉะนั้นไม่ว่าอาหารนั้นจะอร่อยแค่ไหน เราก็ต้องกินเหลือไว้อย่างน้อยคำหนึ่งเสมอ และในจีน ถ้าเรากินไปคุยไป (คุยในขณะที่อาหารเต็มปาก) และถึงกับเรอเมื่ออิ่มนั้น เป็นมารยาทดีสุดๆ (เพราะแปลว่าอาหารอร่อยมาก และเราอิ่มแปร้) และตบท้ายด้วยมุข “ว่าแต่อย่าเผลอผายลมแถมให้ด้วยล่ะ” (เพราะอันนั้นเป็นมารยาทที่ไม่ดีในทุกสังคม)

อันดับ 4 ห้ามพบปะสนทนากับเพศตรงข้ามในซาอุดิอาระเบียโดยเปิดเผยต่อหน้าคนอื่น (Say “Hi” to a Member of the Opposite Sex in Saudi Arabia)
สากล: “สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
ซาอุฯ: “สวัสดี ตอนนี้คุณมีความผิดฐานร่วมประเวณีผิดศิลธรรมของประเทศเราแล้วละ ชื่อของคุณจะอยู่แฟ้มประวัติอาชญากรรมแน่นอน”
ซาอุฯ: “สวัสดี ตอนนี้คุณมีความผิดฐานร่วมประเวณีผิดศิลธรรมของประเทศเราแล้วละ ชื่อของคุณจะอยู่แฟ้มประวัติอาชญากรรมแน่นอน”
ซาอุดิอาระเบียมีกฎหมายที่เคร่งศาสนาเพื่อป้องกันการผิดศีลธรรมต่างๆ นาๆ เราอาจเห็นกฎหมายห้ามชายและหญิงมีชู้ ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว (มันก็ดีนี่น่า) แต่ถ้าใครละเมิดอาจจะได้รับบทลงโทษที่แสนรุนแรงตามมาแน่นอน หนึ่งในนั้นก็มีกฎหมายห้ามผู้หญิง(รวมถึงผู้หญิงต่างชาติ) จับมือทักทายผู้ชายต่อหน้าสาธารณชนหรือสมาคม และผู้ชายใดๆ ที่ไม่ใช่สามีของเธอโดยปราศจากผู้ที่ไปเป็นเพื่อน ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2008 ผู้หญิงสหรัฐคนหนึ่งที่ติดต่องานโดยสนทนาและจับมือกับผู้ชายใน Starbucks สุดท้ายถูกจับกุมและเรื่องถึงขั้นขึ้นศาล

อันดับ 3 ห้ามให้ดอกไม้เลขคู่ในรัสเซีย (Give an Even Number of Flowers in Russia)
สากล: “ฉันชอบเสน่ห์ของเธอเหลือเกิน เลยขอมอบดอกไม้ให้แทนความรู้สึกของเรา
รัสเซีย: “ตาย! ตาย! ตาย! อ๊ากกกกกกกก”
รัสเซีย: “ตาย! ตาย! ตาย! อ๊ากกกกกกกก”
ในรัสเซียดอกไม้จำนวนเลขคู่ใช้ในงานศพเท่านั้น และแน่นอนถ้าเราเอาดอกไม้จำนวนคู่เป็นของขวัญให้คนรัสเซียล่ะก็มีหวังได้คืนกลับหลายดอกแน่! เพราะเหมือนเราแช่งให้เขาตายเร็ว เวลาจะให้ดอกไม้แก่คนรัสเซียควรให้ดอกไม้เลขคี่ดีกว่า และคนรัสเซียก็ไม่ให้ความสำคัญแก่สีของดอกไม้มากนัก พูดถึงรัสเซีย รัสเซียนี้มีประวัติวัฒนธรรมประเพณีที่ยาวนาน ถ้าเราศึกษาดีๆ จะพบข้อห้ามของรัสเซียอยู่เยอะ เช่น ไม่ควรจับมือหรือหอมแก้มทักทายที่ประตูทางเข้าบ้าน ห้ามปฏิเสธการดื่มอวยพร เวลาไปเยี่ยมต้องเอาของที่ระลึกเป็นให้เจ้าบ้านด้วย เป็นต้น

อันดับ 2 ห้ามให้ของขวัญด้วยมือซ้ายข้างเดี่ยวในบางประเทศ ( Give a Gift With Your Left Hand, Pretty Much Anywhere)
สากล: ฉันมาแสดงความยินดีกับงานแต่งลูกสาวของคุณ เธอสวยมาก ฉันขอมอบของขวัญให้แก่ลูกสาวของคุณ เพราะฉันรักคุณ (ส่งด้วยมือซ้าย)
บางประเทศ: (อีกฝ่ายคิด) ฉันมาแสดงความยินดีกับงานแต่งลูกสาวของคุณ เธอไร้ค่ามาก เหมือนอาเจียนของสุนัขที่ฉันไปเจอมา ฉันขอมอบของขวัญนี้ให้ เพราะฉันเกลียดคุณ (ว่ะ)
ในบางประเทศถือได้ว่ามือซ้ายเป็นมือที่สกปรก โสโครก เพราะเรามักใช้มือซ้ายจับได้สิ่งที่ไม่ดีหลายอย่าง เช่น เรามักใช่มือซ้ายในการชำระล้างตะหรูดดดเวลาเข้าส้วม (สำหรับคนถนัดขวานะ) นอกจากนั้นในบางวัฒนธรรมในบางประเทศเชื่อว่าคนถนัดซ้ายคือสมุน ของซาตาน ส่วนคนถนัดขวาคือมนุษย์ ซึ่งในหลายประเทศที่ห้ามส่งของขวัญด้วยมือซ้ายก็มี อินเดีย, แอฟริกา, ศรีลังกา และประเทศตะวันออกกลาง
บางประเทศ: (อีกฝ่ายคิด) ฉันมาแสดงความยินดีกับงานแต่งลูกสาวของคุณ เธอไร้ค่ามาก เหมือนอาเจียนของสุนัขที่ฉันไปเจอมา ฉันขอมอบของขวัญนี้ให้ เพราะฉันเกลียดคุณ (ว่ะ)
ในบางประเทศถือได้ว่ามือซ้ายเป็นมือที่สกปรก โสโครก เพราะเรามักใช้มือซ้ายจับได้สิ่งที่ไม่ดีหลายอย่าง เช่น เรามักใช่มือซ้ายในการชำระล้างตะหรูดดดเวลาเข้าส้วม (สำหรับคนถนัดขวานะ) นอกจากนั้นในบางวัฒนธรรมในบางประเทศเชื่อว่าคนถนัดซ้ายคือสมุน ของซาตาน ส่วนคนถนัดขวาคือมนุษย์ ซึ่งในหลายประเทศที่ห้ามส่งของขวัญด้วยมือซ้ายก็มี อินเดีย, แอฟริกา, ศรีลังกา และประเทศตะวันออกกลาง
พูดถึงการให้ของขวัญแก่คนต่างประเทศนี้ก็มีข้อควรรู้อีกเยอะ เช่น อย่าใช้กระดาษขาวมาห่อของขวัญแก่คนจีน อย่าให้ดอกไม้สีขาวแก่ชาวบังคลาเทศ ซึ่งมันอาจเป็นมารยาทเล็กๆ ที่คุณอาจต้องรู้ไว้เวลาจะถูกมิตรกับคนต่างชาติ เพราะคนต่างชาติไม่มองคุณเป็นคนขี่ม้าที่สี่ของบันทึกทางศาสนาของยิวแน่นอน (กษัตริย์ทั้งสี่ในศาสนาคริสต์ที่มอบของขวัญแก่พระเยซูคริสต์ในช่วงประสูติ)

อันดับ 1 ห้าม “OK” ที่บราซิล (Give the “OK” Sign in Brazil)
สากล: ตกลง!! โอเค
บราซิล: ไฮ บราซิล!! ฉันคือ ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ของ USA ฉันกำลังจะไปแตะผ่าหมากคุณแล้ว
บราซิล: ไฮ บราซิล!! ฉันคือ ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ของ USA ฉันกำลังจะไปแตะผ่าหมากคุณแล้ว
บราซิล คือดินแดนแห่งสาวสวย หาดทรายขาว และวัฒนธรรมเปิดกว้างเป็นมิตร แต่ถ้าเราทำมือโอเคแก่ชาวบราซิลละก็ จากมิตรจะกลายเป็นศัตรูทันใด!! ในบราซิลการทำมือ “โอเค” หรือ “ตกลง” นั้นไม่ควรนำมาใช้อย่างยิ่งเพราะการทำมือ “ตกลง” เป็นการแสดงอากัปกิริยาเทียบเท่าได้กับ “ฟักยู” ในอเมริกา (ชูนิ้วกลาง) เราไม่รู้ว่าประวัติของการห้ามทำสัญญามือของบราซิลนี้มีที่มาอย่างไร แต่มันก็เคยเกือบเป็นปัญหาระดับประเทศมาแล้ว เมื่อนิกสันมาเยือนอเมริกาและในขณะก้าวลงจากเครื่องบิน ฝูงชนรัวชัตเตอร์ถ่ายรูปประชิดตัว พร้อมกันนั้นนิกสันได้ยกมือทำสัญลักษณ์ “โอเค” ทักทายต่อหน้ากล้องและประธานาธิบดีคนแรกของบราซิล แน่นอนคนบราซิลถึงกับผงะ!! เพราะคิดว่านิกสันจะเตะผ่าหมากคนทั้งบราซิล!!
สรุปการมาเยือนบราซิลของนิกสันในครั้งนั้น ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างเละ ด้วย ปัสสาวะ อึ ที่โถมกระหน่ำใส่รถลีมูซีนที่ท่านนั่งอยู่ตลอดสองข้างทาง…….(ที่ไม่สุภาพ เพราะว่า การทำมือ o.k. โดยเอานิ้วโป้งแตะกับนิ้วชี้ จะเกิดเป็นรูกลมๆ ซึ่งชาวบราซิลถือว่ารูนี้ เปรียบกับ “รูทวาร” ในภาษาของเค้าใช้คำว่า Cu “กู” ถ้าจะด่าด้วยการใช้ภาษามือนี้ ซึ่งความหมายมันจะเหมือนประโยค Vai Tomar Nu Cu อ่านว่า ” วาย โตมาร์ นู คู ” (vai = ไป , tomar = กิน , nu = เปลือย , cu = รูทวาร) ซึ่งเป็นคำด่าหยาบมาก คงประมาณว่าไปตายซะ! อะไรทำนองนี้ …)
…………………………………………………………………
7 มารยาทห้ามทำ ในต่างประเทศ
ที่มา : http://www.fwdder.com
คำเเสลง
1. BAE (เบ):
หมายถึง เบบี๋ หรือ ดาร์ลิ่ง หรือ เบ๊บ
คำนี้ย่อมาจากคำว่า “Before Anyone Else” แปลว่า "ก่อนคนอื่น”
จะคล้ายๆคำว่า Baby, babe, sweetie
เอาไว้ใช้เรียกแฟน หรือ กิ๊ก หรือ คนที่เราแอบชอบก็ได้ค้าบ อิๆ
Example: I love you, Bae!
ตัวอย่าง: เค้ารักตัวน้า เบบี๋
2. Basic (เบสิก):
หมายถึง ไม่มีจุดเด่น ออกแนวน่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าสนใจ ง่ายๆ
คล้ายๆกับคำว่า เบๆ ที่เราใช้กันค่ะ
Example: Don’t come to this event. It is so basic.
ตัวอย่าง: ไม่ต้องมาอีเว้ทนี้หรอก มันแบบไม่มีไรน่าสนใจเลย
เสริมน้าค้าบว่า
จริงๆ คำนี้มาจาสแลงอีกคำ คือ "Basic B*tch"
หมายถึง ผู้หญิงที่หลงตัวเองมากๆ คิดว่าตนดีนู้นนี้นั้น
แต่คำนี้มันมีคำหยาบ ***ไม่แนะนำให้ใช้น้าค้าบบบบ***
3. Whappened ? (แวพ’เพิน):
หมายถึง เกิดอะไรขึ้น
จริงๆก็คือการเอา What กับ happened มารวมกัน
เวลาฝรั่งพูดเร็วๆ ฟังดูเหมือนป็นคำเดียว
ตอนนี้เลยกลายเป็นสแลงไปค่ะ
Example: Why are you late? Whappened?
ตัวอย่าง: ทำไมเธอมาช้าละ เกิดอะไรขึ้น?
4. Turnt Up (เทินท์ อัพ):
หมายถึง อาการของคนที่เมาเหล้าเมายามากๆ
หรือว่าอีกความหมาย คือ สนุกสนาน เฮฮา ปาร์ตี้แบบหลุดโลก
Example: The party was turnt up last night!
ตัวอย่าง: ปาร์ตี้เมื่อคืนนี้มันส์หลุดโลกเลย
5. Thinkpiece (ทิงค์พิส):
หมายถึง ผู้หญิงที่ฉลาด
Example: I date her because she is my Thinkpiece.
ตัวอย่าง: ฉันเดทนางเพราะนางฉลาดกว่าฉัน (คิดแทนฉันได้ 555+)
6. THOT (ธอท):
คำนี้ย่อมาจาก คำว่า "That H** Over There”
ประโยคนี้มีคำหยาบ หลิงๆไม่แนะนำให้ใช้น้าค้า รู้ไว้เฉยๆเป็นพอจ๊ะ
แปลตรงๆจะได้ว่า (นัง)ผู้หญิงคนนั้น
เป็นคำที่มีความหมายในแง่ลบ ไม่ควรใช้พูดถึงผู้หญิงคนอื่นน้าค้า
Example: THOT stole my ring.
ตัวอย่าง: นางคนนั้นขโมยแหวนของฉัน
ย้ำน้าค้าาาา ประโยคนี้มีคำหยาบ ไม่แนะนำให้ใช้ค่ะ
7. Shark Week (ชาร์ค วิค)
หมายถึง ช่วงเวลาที่ผู้หญิงเป็นประจำเดือน
ง่ายๆก็วันแดงเดือดนั้นเองค้าบ
Example:
A: Why is she so moody today?
B: It’s probably the shark week.
ตัวอย่าง:
เอ: วันนี้นางเป็นอะไรอะ อารมณ์ขึ้นๆลงๆมาก
บี: คงเป็นช่วงแดงเดือดอะ
8. Throwing Shade (โธรอิง เชด):
หมายถึง การนินทาชาวบ้าน หรือบ่น, ดราม่า, ไซโคใส่ใครสักคนค่ะ
Example:
A: I met C’s boyfriend last night. He was short and ugly and stuck up. I don’t know why C is dating him!
B: A, why are you throwing shade?
ตัวอย่าง:
เอ: ฉันเจอแฟนของซีด้วยแหละเมื่อวานนี้ เขาไม่หล่อแถมเตี้ยแล้วก็หยิ่ง ไม่รู้ทำไมซีถึงคบกับคนนี้
บี: เอ, แล้วเธอจะมาบ่นนินทาชาวบ้านเค้าทำไมฮะ
9. Or nah?/ Ornah? (ออร์ นา):
หมายถึง หรือไม่, หรือป่าว, ใช่มะ
จริงๆมันมาจาก Or not ซึ่งก็มีความหมายเดียวกันค่ะ
ส่วนใหญ่จะใข้เยอะตามโซเชียวเน็ตเวิร์ค
Example: Do you wanna build a snowman, or nah?
ตัวอย่าง: คุณอยากปั้นมนุษย์หิมะไหม หรือไม่อยาก?
10. Slay (สเล):
หมายถึง โดดเด่น หรือเยี่ยมยอด ทำให้ประทับใจมาก
จะใช้เป็นคำชมเวลาที่ใครทำอะไรโดดเด่นหรือเจ๋งมากแย่งซีนชาวบ้านหมดเบย
จะคล้ายกับคำว่า outstanding
แต่ความหมายจริงๆ คือ ฆ่า, สังหาร จ้า
Example: Beyoncé slayed the performance last night!
ตัวอย่าง: เมื่อคืนการแสดงของบียองเซ่ได้ใจคนดูไปเต็มๆ นางเริ่ดมาก
หมายถึง เบบี๋ หรือ ดาร์ลิ่ง หรือ เบ๊บ
คำนี้ย่อมาจากคำว่า “Before Anyone Else” แปลว่า "ก่อนคนอื่น”
จะคล้ายๆคำว่า Baby, babe, sweetie
เอาไว้ใช้เรียกแฟน หรือ กิ๊ก หรือ คนที่เราแอบชอบก็ได้ค้าบ อิๆ
Example: I love you, Bae!
ตัวอย่าง: เค้ารักตัวน้า เบบี๋
2. Basic (เบสิก):
หมายถึง ไม่มีจุดเด่น ออกแนวน่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าสนใจ ง่ายๆ
คล้ายๆกับคำว่า เบๆ ที่เราใช้กันค่ะ
Example: Don’t come to this event. It is so basic.
ตัวอย่าง: ไม่ต้องมาอีเว้ทนี้หรอก มันแบบไม่มีไรน่าสนใจเลย
เสริมน้าค้าบว่า
จริงๆ คำนี้มาจาสแลงอีกคำ คือ "Basic B*tch"
หมายถึง ผู้หญิงที่หลงตัวเองมากๆ คิดว่าตนดีนู้นนี้นั้น
แต่คำนี้มันมีคำหยาบ ***ไม่แนะนำให้ใช้น้าค้าบบบบ***
3. Whappened ? (แวพ’เพิน):
หมายถึง เกิดอะไรขึ้น
จริงๆก็คือการเอา What กับ happened มารวมกัน
เวลาฝรั่งพูดเร็วๆ ฟังดูเหมือนป็นคำเดียว
ตอนนี้เลยกลายเป็นสแลงไปค่ะ
Example: Why are you late? Whappened?
ตัวอย่าง: ทำไมเธอมาช้าละ เกิดอะไรขึ้น?
4. Turnt Up (เทินท์ อัพ):
หมายถึง อาการของคนที่เมาเหล้าเมายามากๆ
หรือว่าอีกความหมาย คือ สนุกสนาน เฮฮา ปาร์ตี้แบบหลุดโลก
Example: The party was turnt up last night!
ตัวอย่าง: ปาร์ตี้เมื่อคืนนี้มันส์หลุดโลกเลย
5. Thinkpiece (ทิงค์พิส):
หมายถึง ผู้หญิงที่ฉลาด
Example: I date her because she is my Thinkpiece.
ตัวอย่าง: ฉันเดทนางเพราะนางฉลาดกว่าฉัน (คิดแทนฉันได้ 555+)
6. THOT (ธอท):
คำนี้ย่อมาจาก คำว่า "That H** Over There”
ประโยคนี้มีคำหยาบ หลิงๆไม่แนะนำให้ใช้น้าค้า รู้ไว้เฉยๆเป็นพอจ๊ะ
แปลตรงๆจะได้ว่า (นัง)ผู้หญิงคนนั้น
เป็นคำที่มีความหมายในแง่ลบ ไม่ควรใช้พูดถึงผู้หญิงคนอื่นน้าค้า
Example: THOT stole my ring.
ตัวอย่าง: นางคนนั้นขโมยแหวนของฉัน
ย้ำน้าค้าาาา ประโยคนี้มีคำหยาบ ไม่แนะนำให้ใช้ค่ะ
7. Shark Week (ชาร์ค วิค)
หมายถึง ช่วงเวลาที่ผู้หญิงเป็นประจำเดือน
ง่ายๆก็วันแดงเดือดนั้นเองค้าบ
Example:
A: Why is she so moody today?
B: It’s probably the shark week.
ตัวอย่าง:
เอ: วันนี้นางเป็นอะไรอะ อารมณ์ขึ้นๆลงๆมาก
บี: คงเป็นช่วงแดงเดือดอะ
8. Throwing Shade (โธรอิง เชด):
หมายถึง การนินทาชาวบ้าน หรือบ่น, ดราม่า, ไซโคใส่ใครสักคนค่ะ
Example:
A: I met C’s boyfriend last night. He was short and ugly and stuck up. I don’t know why C is dating him!
B: A, why are you throwing shade?
ตัวอย่าง:
เอ: ฉันเจอแฟนของซีด้วยแหละเมื่อวานนี้ เขาไม่หล่อแถมเตี้ยแล้วก็หยิ่ง ไม่รู้ทำไมซีถึงคบกับคนนี้
บี: เอ, แล้วเธอจะมาบ่นนินทาชาวบ้านเค้าทำไมฮะ
9. Or nah?/ Ornah? (ออร์ นา):
หมายถึง หรือไม่, หรือป่าว, ใช่มะ
จริงๆมันมาจาก Or not ซึ่งก็มีความหมายเดียวกันค่ะ
ส่วนใหญ่จะใข้เยอะตามโซเชียวเน็ตเวิร์ค
Example: Do you wanna build a snowman, or nah?
ตัวอย่าง: คุณอยากปั้นมนุษย์หิมะไหม หรือไม่อยาก?
10. Slay (สเล):
หมายถึง โดดเด่น หรือเยี่ยมยอด ทำให้ประทับใจมาก
จะใช้เป็นคำชมเวลาที่ใครทำอะไรโดดเด่นหรือเจ๋งมากแย่งซีนชาวบ้านหมดเบย
จะคล้ายกับคำว่า outstanding
แต่ความหมายจริงๆ คือ ฆ่า, สังหาร จ้า
Example: Beyoncé slayed the performance last night!
ตัวอย่าง: เมื่อคืนการแสดงของบียองเซ่ได้ใจคนดูไปเต็มๆ นางเริ่ดมาก
การแนะนำตนเอง
การแนะนำตนเอง (Introducing Oneself)
การแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ ไม่ยากเย็น ให้เริ่มโดยการทักทายก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยบอกว่าเราชื่ออะไร เป็นใคร มาจากไหน และแสดงความยินดีที่ได้รู้จัก แค่นี้ก็พอครับ
การแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ ไม่ยากเย็น ให้เริ่มโดยการทักทายก่อนเป็นอันดับแรก แล้วค่อยบอกว่าเราชื่ออะไร เป็นใคร มาจากไหน และแสดงความยินดีที่ได้รู้จัก แค่นี้ก็พอครับ
ซึ่งการแนะนำตนเองก็มีแบบง่ายๆเป็นกันเอง และการแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการ ซึ่งถ้าเราเป็นนักเรียนก็แนะนำแบบเป็นกันเองก็ได้
ส่วนการแนะนำตนเองอย่างเป็นทางการนั้น สำหรับนักธุรกิจและผู้นำระดับบิ๊กๆ แล้วกัน จำไว้ว่าควรประกอบด้วยสี่ส่วนคือ ทักทาย บอกชื่อ บอกข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อย กล่าวแสดงความรู้สึกดีที่ได้เจอกัน
สำนวนที่ใช้เหมาะกับหลายสถานการณ์เช่น
- การแนะนําตัวเป็นภาษาอังกฤษหน้าชั้นเรียน
- การแนะนําตัวเป็นภาษาอังกฤษในการสัมภาษณ์งาน
- การแนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษในการเข้าทำงานในสถานที่ใหม่ โดยเฉพาะกับเพื่อนร่วมงานจากหลายประเทศ
การแนะนำตนเองแบบเป็นกันเอง
Hello. (ทักทาย)
เฮ็ลโล๊ (สวัสดี)
My name’s Tongdee. (บอกชื่อ)
มาย เนมส ทองดี (ผมชื่อทองดี)
I’m from Thailand. (ข้อมูลเพิ่มเติม)
ไอม ฟรอม ไท๊แลนด (ผมมาจากประเทศไทย)
I’m an exchange student. (ข้อมูลเพิ่มเติม)
ไอม เมิน นิกซเช๊นจ สติ๊วเดินท (ผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน)
Glad to meet you. (แสดงความยินดีที่ได้เจอกัน)
แกลด ทะ มีท ชู (ดีใจที่ได้เจอกัน)
การแนะนำตนเองแบบเป็นทางการ
Good morning. (ทักทาย)
กุด ม๊อนิง (อรุนสวัสดิ์ครับ)May I introduce myself? (ขออนุญาต)
เม๊ ยาย ยินทระดิ๊วซ มายเซ๊ลฟ (ผมขออนุญาตแนะนำตัวเองนะครับ)
My name is Somchai Rakdee. (บอกชื่อ)
มาย เนม มิส สมชาย รักดี (ผมชื่อสมชาย รักดี)
I’m the marketing manager from ABC company. (ข้อมูลเพิ่มเติม)
ไอม เดอะ ม๊าคิททิง แม๊นนิจเจอะ ฟรอม เอบีซี คั๊มพะนี (ผมเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดจากบริษัทเอบีซี)
Nice to meet you. (แสดงความยินดีที่ได้เจอกัน)
ไนซ ทะ มีท ชู (ยินดีที่ได้รู้จัก)
อีกสำนวนหนึ่งของการขออนุญาตแนะนำตัวคือ
Let me introduce myself.
เล็ท มี อินทระดิ๊วซ มายเซ๊ลฟ
แต่จำไว้ใช้แค่อันเดียวก็พอนะครับ ส่วนเป็นใครมาจากไหน ก็ปรับเปลี่ยนกันเอาเองแล้วกัน
Let me introduce myself.
เล็ท มี อินทระดิ๊วซ มายเซ๊ลฟ
แต่จำไว้ใช้แค่อันเดียวก็พอนะครับ ส่วนเป็นใครมาจากไหน ก็ปรับเปลี่ยนกันเอาเองแล้วกัน
ภาพประกอบ : http://www.freedigitalphotos.net
คำที่ใช้ค้นในหน้านี้
- แนะนําตัวภาษาอังกฤษ การแนะนําตัวเป็นภาษาอังกฤษ แนะนําตัวเป็นภาษาอังกฤษ แนะนําตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ แนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ การแนะนําตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ แนะนำตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ การแนะนําตัวภาษาอังกฤษ การแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ ประโยคแนะนําตัวภาษาอังกฤษ
การกล่าวทักทาย
ถ้ากล่าวในแง่ของ ‘คำทักทาย’ และ ‘คำกล่าวตอบ’ แล้ว การกล่าวคำทักทายของฝรั่ง (Greeting) จะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
1. การกล่าวคำทักทายที่ ‘คำทักทาย’ และ ‘คำกล่าวตอบ’ เป็นคำคำ
เดียวกันหรือเป็นคำในกลุ่มเดียวกัน เช่น
คำทักทาย: Hi!
คำกล่าวตอบ: Hi!
เดียวกันหรือเป็นคำในกลุ่มเดียวกัน เช่น
คำทักทาย: Hi!
คำกล่าวตอบ: Hi!
2. การกล่าวคำทักทายที่ ‘คำทักทาย’ และ ‘คำกล่าวตอบ’ ไม่ใช่คำคำ
เดียวกัน เช่น
เดียวกัน เช่น
คำทักทาย: How are you?
คำกล่าวตอบ: Very well.
คำกล่าวตอบ: Very well.
1.การกล่าวคำทักทายที่ ‘คำทักทาย’ และ ‘คำกล่าวตอบ’
เป็นคำคำเดียวกันหรือเป็นคำในกลุ่มเดียวกัน
การกล่าวคำทักทายที่ ‘คำทักทาย’ และ ‘คำกล่าวตอบ’ เป็นคำคำเดียวกันหรือเป็นคำใน
กลุ่มเดียวกันแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้
1.1 กลุ่มการกล่าวคำทักทายที่เป็นคำเพียง 1-2 พยางค์
การกล่าวคำทักทายด้วยคำเพียง 1-2 พยางค์ จะได้แก่คำดังต่อไปนี้
Hi; Hey; Hello; Howdy; Hi there; Hello there; Morning/Afternoon/
Evening
กลุ่มเดียวกันแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังนี้
1.1 กลุ่มการกล่าวคำทักทายที่เป็นคำเพียง 1-2 พยางค์
การกล่าวคำทักทายด้วยคำเพียง 1-2 พยางค์ จะได้แก่คำดังต่อไปนี้
Hi; Hey; Hello; Howdy; Hi there; Hello there; Morning/Afternoon/
Evening
การใช้ ‘คำทักทาย’ ที่เป็นคำเพียง 1-2 พยางค์ และ ‘คำกล่าวตอบ’ ด้วยคำคำเดียวกัน
หรือด้วยคำในกลุ่มเดียวกันจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
หรือด้วยคำในกลุ่มเดียวกันจะมีลักษณะดังต่อไปนี้
คำทักทาย: Hi!
คำกล่าวตอบ: Hi!/Hey!/Hello
คำกล่าวตอบ: Hi!/Hey!/Hello
คำทักทาย: Morning/Hello
คำกล่าวตอบ: Morning/Hi there
คำกล่าวตอบ: Morning/Hi there
คำทักทาย: Evening/Howdy/Hi there
คำกล่าวตอบ: Evening/Hi!/Hello there
คำกล่าวตอบ: Evening/Hi!/Hello there
การใช้ ‘คำทักทาย’ และ ‘คำกล่าวตอบ’ ดังตัวอย่างข้างต้น มักใช้กับการกล่าวคำทักทาย
ในหมู่คนที่รู้จักกันแล้ว หรือในหมู่เพื่อนสนิท หรือใช้เพื่อแสดงความเป็นกันเอง และมักใช้กับ
การกล่าวทักทายเมื่อพบหน้ากันเป็นครั้งแรกของวัน ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีภาระกิจที่จะต้อง
กระทำ จึงมักนิยมทักกันด้วยคำสั้นๆเพียง 1-2 พยางค์ดังตัวอย่างข้างต้น
ในหมู่คนที่รู้จักกันแล้ว หรือในหมู่เพื่อนสนิท หรือใช้เพื่อแสดงความเป็นกันเอง และมักใช้กับ
การกล่าวทักทายเมื่อพบหน้ากันเป็นครั้งแรกของวัน ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีภาระกิจที่จะต้อง
กระทำ จึงมักนิยมทักกันด้วยคำสั้นๆเพียง 1-2 พยางค์ดังตัวอย่างข้างต้น
ถ้าได้ทักทายกันไปแล้ว และยังมาพบกันอีกครั้งภายในวันนั้น ก็อาจจะมีการใช้คำทักทาย
อีกได้ดังนี้ Hi, again โดยฝ่ายที่ถูกทักทายก็อาจจะกล่าวตอบมาว่า Hey เป็นต้น
อีกได้ดังนี้ Hi, again โดยฝ่ายที่ถูกทักทายก็อาจจะกล่าวตอบมาว่า Hey เป็นต้น
1.1.1 การใช้ Hi ในการกล่าวคำทักทายเพื่อแนะนำตนเอง
เป็นธรรมเนียมของฝรั่งที่มักจะใช้คำว่า Hi กล่าวทักทายบุคคลที่ตัวเองไม่เคยรู้จักมาก่อน แต่ต้องการทำความรู้จัก ดังนี้
J-Ma: Hi!
Mint: Hi!
J-Ma: My name is J-Ma.
Mint: I’m Mint. Nice to meet you.
J-Ma: Nice to meet you (too).
Mint: Hi!
J-Ma: My name is J-Ma.
Mint: I’m Mint. Nice to meet you.
J-Ma: Nice to meet you (too).
และตามมารยาททางสังคมของฝรั่งแล้ว เมื่อมีการทักทายด้วยคำว่า Hi แล้วฝ่ายที่ถูก
ทักทาย ก็ต้องกล่าวตอบไปว่า Hi เช่นกัน เพื่อมิให้เป็นการเสียมารยาทดังตัวอย่างข้างต้น
ทักทาย ก็ต้องกล่าวตอบไปว่า Hi เช่นกัน เพื่อมิให้เป็นการเสียมารยาทดังตัวอย่างข้างต้น
เมื่อเราได้รู้จักธรรมเนียมและมารยาททางสังคมของการกล่าวคำทักทายของฝรั่งแล้ว ก็เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษของเราได้ ด้วยการเริ่มต้นกล่าวทักทายฝรั่ง
ก่อน เพราะโดยมารยาทแล้วฝรั่งก็มักจะต้องคุยกับเราด้วยเสมอ เช่น สมมติเราไปเจอนักท่อง
เที่ยว หรืออาสาสมัครที่มาสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัยของเรา เราก็
สามารถตรงเข้าไปทักทายได้ทันทีดังนี้
ก่อน เพราะโดยมารยาทแล้วฝรั่งก็มักจะต้องคุยกับเราด้วยเสมอ เช่น สมมติเราไปเจอนักท่อง
เที่ยว หรืออาสาสมัครที่มาสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัยของเรา เราก็
สามารถตรงเข้าไปทักทายได้ทันทีดังนี้
James: Hi! My name is James.
Bella: Hi! James. I’m Bella.
James: I’m a student here.
Bella: Really? Good to meet you.
James: I’m pleased to meet you today. May I ask you a question?
Bella: Yes, go ahead.
James: Are you a volunteer to teach English here?
Bella: Sure.
Bella: Hi! James. I’m Bella.
James: I’m a student here.
Bella: Really? Good to meet you.
James: I’m pleased to meet you today. May I ask you a question?
Bella: Yes, go ahead.
James: Are you a volunteer to teach English here?
Bella: Sure.
หรือถ้ามีฝรั่งเข้ามาทักทายเราด้วยคำว่า Hi! เราก็ควรตอบกลับไปด้วยคำว่า Hi! ทันที เพื่อแสดงมารยาททางสังคมอันดี อย่าได้เงียบเฉย เหนียมอาย ทำหน้าบึ้ง หรือเดินหนี ฯลฯ
แต่เมื่อต่อบทสนทนากันแล้ว เรารู้สึกไม่ค่อยไว้วางใจฝรั่งคนนั้น เราก็สามารถปลีกตัว
ออกมาได้ด้วยการพูดว่า Excuse me. I’m in a hurry. Bye. หรือ I'm sorry.
I don’t mean to be rude, but I have something to do. Bye. เป็นต้น
1.2 กลุ่มการกล่าวคำทักทายด้วยวลีที่แสดงความสุภาพ
ออกมาได้ด้วยการพูดว่า Excuse me. I’m in a hurry. Bye. หรือ I'm sorry.
I don’t mean to be rude, but I have something to do. Bye. เป็นต้น
1.2 กลุ่มการกล่าวคำทักทายด้วยวลีที่แสดงความสุภาพ
การใช้ ‘คำทักทาย’ และ ‘คำกล่าวตอบ’ ด้วยวลีที่แสดงความสุภาพ จะได้แก่วลีดังต่อไป
นี้:
Good morning ใช้ตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยงคืนถึง 12.00 น. โดยประมาณ
Good afternoon ใช้ตั้งแต่ช่วง 12.00-18.00 น. โดยประมาณ
Good evening ใช้ตั้งแต่ช่วง 18.00 น.-เที่ยงคืน โดยประมาณ
ดังประโยคตัวอย่างต่อไปนี้
นี้:
Good morning ใช้ตั้งแต่ช่วงหลังเที่ยงคืนถึง 12.00 น. โดยประมาณ
Good afternoon ใช้ตั้งแต่ช่วง 12.00-18.00 น. โดยประมาณ
Good evening ใช้ตั้งแต่ช่วง 18.00 น.-เที่ยงคืน โดยประมาณ
ดังประโยคตัวอย่างต่อไปนี้
คำทักทาย: Good morning
คำกล่าวตอบ: Good morning
คำกล่าวตอบ: Good morning
คำทักทาย: Good afternoon
คำกล่าวตอบ: Good afternoon
คำกล่าวตอบ: Good afternoon
คำทักทาย: Good evening
คำกล่าวตอบ: Good evening
คำกล่าวตอบ: Good evening
การกล่าวคำทักทายด้วยวลีที่แสดงความสุภาพนี้ มักใช้เมื่อเรากล่าวต้อนรับลูกค้าที่เข้ามา
ในร้านเรา, กล่าวต้อนรับแขกผู้มาร่วมงานหรือมาใช้บริการของเรา เป็นต้น
ในร้านเรา, กล่าวต้อนรับแขกผู้มาร่วมงานหรือมาใช้บริการของเรา เป็นต้น
และถ้าเราในฐานะผู้กล่าวคำทักทาย ต้องการใช้คำทักทายของเราฟังดูสุภาพยิ่งขึ้น
ก็สามารถเสริมคำอื่นๆเข้าไปได้ เช่น Good afternoon, sir (ใช้ทักทายลูกค้าหรือแขก
ที่เป็นผู้ชาย); Good evening, ma’am (ใช้ทักทายลูกค้าหรือแขกที่เป็นผู้หญิง)
1.3 กลุ่มการกล่าวคำทักทายด้วยประโยคแบบเป็นทางการ
‘คำทักทาย’ และ ‘คำกล่าวตอบ’ ด้วยประโยคแบบเป็นทางการได้แก่ How do you do? โดยมีลักษณะการใช้ดังนี้
ก็สามารถเสริมคำอื่นๆเข้าไปได้ เช่น Good afternoon, sir (ใช้ทักทายลูกค้าหรือแขก
ที่เป็นผู้ชาย); Good evening, ma’am (ใช้ทักทายลูกค้าหรือแขกที่เป็นผู้หญิง)
1.3 กลุ่มการกล่าวคำทักทายด้วยประโยคแบบเป็นทางการ
‘คำทักทาย’ และ ‘คำกล่าวตอบ’ ด้วยประโยคแบบเป็นทางการได้แก่ How do you do? โดยมีลักษณะการใช้ดังนี้
คำทักทาย: How do you do?
คำกล่าวตอบ: How do you do?
คำกล่าวตอบ: How do you do?
‘คำทักทาย’ และ ‘คำกล่าวตอบ’ How do you do? นี้ แม้จะอยู่ในรูปของประโยค
คำถาม แต่เวลาออกเสียงก็ให้ออกเสียงแบบประโยคบอกเล่าธรรมดา นั่นคือ ไม่มีการขึ้นเสียง
สูงที่ท้ายประโยค
คำถาม แต่เวลาออกเสียงก็ให้ออกเสียงแบบประโยคบอกเล่าธรรมดา นั่นคือ ไม่มีการขึ้นเสียง
สูงที่ท้ายประโยค
How do you do? มักใช้เป็น ‘คำทักทาย’ และ ‘คำกล่าวตอบ’ เมื่อเราเข้าพบกับหัวหน้า
หรือผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ, หรือเมื่อเราพบปะเจรจาความหรือเจรจาทางธุรกิจต่างๆ หรือ
ใช้เพื่อแสดงความสุภาพเมื่อเราได้รับการแนะนำให้รู้จักกับบุคคลอื่นเป็นครั้งแรก
หรือผู้บริหารหน่วยงานต่างๆ, หรือเมื่อเราพบปะเจรจาความหรือเจรจาทางธุรกิจต่างๆ หรือ
ใช้เพื่อแสดงความสุภาพเมื่อเราได้รับการแนะนำให้รู้จักกับบุคคลอื่นเป็นครั้งแรก
และหลังจากกล่าว How do you do? แล้ว ก็อาจจะมีการจับมือจับไม้กันด้วย (hand-
shake)
shake)
ความสำคัญของการใช้ภาษาอังกฤษ
ความสำคัญของการใช้ภาษาอังกฤษ
1.ความเจริญก้าวหน้าทาวิทยาศาสตร์มาจากยุโรปและอเมริกาเป็นส่วนใหญ่หากต้องการเข้าใจสิ่งเหล่านี้ต้องมีความรู้เป็นภาษาอังกฤษเป็นอย่างดีเพราะตำรับตำราส่วนมากเขียนเป็นภาษาอังกฤษ
2.ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลมีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงเป็นเครื่องหมายของคนมีการศึกษาดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
3.การติดต่อค้าขายกับต่างประเทศกว้างขวางขึ้นมีข้อจำกัดและกฏเกณฑ์เข้ามาเกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องอาศัยภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ทำสัญญาต่างๆ
4.ปัจจุบันประเทศไทยกำลังพัฒนาตัวเองไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ในหลายๆด้านรวมทั้งผู้ชำนาญด้านภาษาด้วย
5.ในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมือง การทหาร การทูตระหว่างประเทศต้องมีความรอบคอบระมัดระวังในการเลือกใช้คำพูดเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดต่างๆอันเกิดจากการใช้คำไม่เหมาะสม
6.นักจิตวิทยาทางภาษาศาสตร์ได้ค้นคว้าและสรุปออกมาว่าคนที่รู้มากกว่าหนึ่งภาษามีโอกาสได้พัฒนามันสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษาได้มากกว่าคนที่พูดอยู่ภาษาเดียวและคนที่พูดได้ภาษามีโอกาสหารายได้ได้เร็วกว่าและมากกว่าคนที่พูดได้ภาษาเดียวคือภาษาแม่
2.ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลมีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจึงเป็นเครื่องหมายของคนมีการศึกษาดีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
3.การติดต่อค้าขายกับต่างประเทศกว้างขวางขึ้นมีข้อจำกัดและกฏเกณฑ์เข้ามาเกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องอาศัยภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร ทำสัญญาต่างๆ
4.ปัจจุบันประเทศไทยกำลังพัฒนาตัวเองไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม จำเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้ในหลายๆด้านรวมทั้งผู้ชำนาญด้านภาษาด้วย
5.ในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งทางการเมือง การทหาร การทูตระหว่างประเทศต้องมีความรอบคอบระมัดระวังในการเลือกใช้คำพูดเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดต่างๆอันเกิดจากการใช้คำไม่เหมาะสม
6.นักจิตวิทยาทางภาษาศาสตร์ได้ค้นคว้าและสรุปออกมาว่าคนที่รู้มากกว่าหนึ่งภาษามีโอกาสได้พัฒนามันสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษาได้มากกว่าคนที่พูดอยู่ภาษาเดียวและคนที่พูดได้ภาษามีโอกาสหารายได้ได้เร็วกว่าและมากกว่าคนที่พูดได้ภาษาเดียวคือภาษาแม่
การพัฒนาการศึกษาภาษาอังกฤษกับอนาคตของไทยในอาเซียน
ภาษาที่ใช้ในการทำงานของอาเซียน คือ ภาษาอังกฤษ ความหมายที่เป็นที่เข้าใจในขั้นต้นก็เป็นเพียงเรื่องของทางราชการและภาคธุรกิจเอกชนเท่านั้น ซึ่งหากเป็นเพียงเท่านี้ก็เป็นเรื่องปรกติธรรมดาของการทำงานในโลกปัจจุบันอยู่แล้ว แม้จะหมายความเพียงว่าเป็นการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารระหว่างกันในการทำงานร่วมกันของเจ้าหน้าที่รัฐบาล ตลอดจนองค์กรและหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ทว่าความหมายของบทบัญญัติที่ให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาของอาเซียนสำหรับการทำงานร่วมกันนั้นมีความหมายกว้างไกลไปถึงทุกส่วนของประชาคมอาเซียนด้วย หมายความว่าประชาชนพลเมืองใน 10 ประเทศอาเซียนจะต้องใช้ภาษาอังกฤษกันมากขึ้น นอกเหนือจากภาษาประจำชาติหรือภาษาประจำถิ่นของแต่ละชาติแต่ละชุมชนเอง เพราะไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นที่จะต้องไปมาหาสู่ร่วมประชุมปรึกษาหารือและสื่อสารกัน และไม่เฉพาะนักธุรกิจและคนทำมาค้าขายระหว่างประเทศเท่านั้นที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารและการติดต่อธุรกิจระหว่างกัน
แต่ในเมื่อทุกคนที่อยู่ในอาเซียนล้วนแล้วแต่เป็นพลเมืองของอาเซียนด้วยกันทุกคน และทุกคนจะต้องไปมาหาสู่ เดินทางท่องเที่ยว ทำความรู้จักคุ้นเคยต่อกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และที่สำคัญทุกคนจะต้องเดินทางข้ามพรมแดนเพื่อหางานทำและแสวงหาโอกาสที่ดีกว่าให้กับชีวิต ดังนั้นภาษาอังกฤษจึงเป็นเครื่องมืออันดับหนึ่งสำหรับพลเมืองอาเซียน ในการสื่อสารสร้างสัมพันธ์สู่โลกกว้างของภูมิภาคอาเซียน โลกแห่งมิตรไมตรีที่ขยายกว้างไร้พรมแดน โลกแห่งการแข่งขันไร้ขอบเขตภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาที่สองของชาวอาเซียน เคียงคู่ภาษาที่หนึ่งอันเป็นภาษาประจำชาติของแต่ละคน
ส่วนภาษาที่สามของชาวอาเซียนนั้นก็คือภาษาอื่นในอาเซียนภาษาหนึ่งภาษาใดหรือมากว่าหนึ่งภาษา เช่นภาษามาเลย์ ภาษาอินโดนีเซีย ภาษาจีน ภาษาลาว ภาษาขแมร์ ภาษาเวียดนาม ภาษาพม่า ภาษาฟิลิปปิโน ภาษาฮินดี และ ภาษาทมิฬ นอกจากนั้นยังมีภาษาของประเทศนอกภูมิภาคอาเซียนที่เป็นประเทศคู่เจรจาสำคัญของอาเซียนอีกแปดประเทศคือ: จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย สหรัฐอเมริกา และ รัสเซีย ซึ่งหมายความว่าจะต้องเรียนรู้ภาษาที่นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ คือ ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเกาหลี ภาษารัสเซีย และภาษาที่ใช้ในอินเดียอีกหลายภาษา (ฮินดี, อูรดู, ทมิฬ, เบงกาลี ฯลฯ)
ภาษาอังกฤษ : ในฐานะภาษาสำคัญของโลก ภาษาอังกฤษปัจจุบันคือภาษานานาชาติ เป็นภาษากลางของโลก ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของมนุษยชาติ เป็นภาษาที่มนุษย์บนโลกใช้ติดต่อระหว่างกันเป็นหลัก ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจำชาติ เมื่อต้องติดต่อกับคนอื่นที่ต่างภาษาต่างวัฒนธรรมกันทุกคนจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้ทุกชาติทุกภาษาจึงบรรจุวิชาภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองรองลงมาจากภาษาประจำชาติ เป็นแกนหลักของหลักสูตรการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ปฐมวัยไปจนถึงการศึกษาตลอดชีวิต
แต่เมื่ออาเซียนกำหนดให้ภาษาอังกฤษเป็น “working language” เราจึงต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ตามความหมายของถ้อยคำว่าเป็น “ภาษาทำงาน” ของทุกคนในอาเซียน ทุกคนที่ “ทำงานเกี่ยวกับอาเซียน”, “ทำงานในอาเซียน”, ทำงานร่วมกับเพื่อนอาเซียน”, “มีเครือข่ายประชาสังคมอาเซียน”, “แสวงหาโอกาสทางการศึกษาในอาเซียน”, “มีเพื่อนในอาเซียน” และ “เดินทางท่องเที่ยวในอาเซียน”
ทุกคนต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ทั้งสิ้น ตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ไปจนถึงเกษตรกรชาวไร่ชาวนา ชาวบ้านทั่วไป นักเรียน นักศึกษา เด็กและเยาวชน ฯลฯ
ที่มา:http://dilbilimarastirmalari.com
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ค่านิยม12ปรกาศ
1. มีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)