วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558

สรุปการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ (Research and Knowledge Formation)

ชื่อนางสาว มัรฑนา  สกุล นาคนุกูล.เลขที่ 18ห้องม.5/10
กลุ่มที่ 6
ปัญหาที่นักเรียนศึกษา ทำไมคนไทยต้องกลัวชาวต่างชาติ
ที่มาและความสำคัญของปัญหา
พบเห้นคนไทยส่วนใหญ่เมื่อพบเจอกับชาวต่างชาติมักที่จะไม่กล้าพุุดคุยหรือเข้าไปทักทายกับชาวต่างชาติหรือหรือการไม่กล้าเเสดงออก หรือการที่เรารู้คำศัพทืน้อยกลัวไม่ถูกหลักไวยกรณ์ก็คืออีกหนึ่งปัญหาเช่นกัน 

วัตถุประสงค์
1.เพื่อศึกษาปัญหาของคนไทยที่กลัวการสนทนากับชาวต่างชาติ
2.เพื่อเรียนรู้วิธีการสร้างภาพยนต์สั้น/สารคดี/ให้ถูกต้อง

ผลการศึกษา (ให้เขียนตามวัตถุประสงค์ )
1
ทำความรู้จัก

วันนี้ขณะกินข้าวอยู่ น้องคนหนึ่งเปรยถามขึ้นมาว่า พี่ครับ ทำยังไงถึงจะพูดอังกฤษได้ ผมเห็นฝรั่งแล้วอยากจะพูดด้วย แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี

อันที่จริงเวลาอยากคุยกับฝรั่ง ก็เหมือนกับเวลาเราอยากคุยกับคนไทยด้วยกันเองนั่นเอง คนที่อยากเริ่มคุยกับฝรั่งก็ต้องไม่อาย ไม่กลัวที่จะพูดผิด แล้วฝรั่งที่ดีเขาจะอดทนฟังเรา คอยช่วยเรา พยายามเข้าใจเรา ถ้าเขาทำท่าอึดอัด ก็แสดงว่าเขาไม่เต็มใจ ต่อให้พูดรู้เรื่อง เขาก็ไม่อยากฟัง ไม่อยากเข้าใจ ก็ไม่ต้องคุยต่อ เสียเวลาแล้วพาลจะทำให้เราเสียความมั่นใจ

ว่าแล้วก็ถือโอกาสสอนวิธีการทักทายง่าย ๆ แบบไม่ต้องเรื่องมากให้ปวดหัว จำให้ได้สักแบบหนึ่งก่อนก็พอ เมื่อคล่องแล้วก็ค่อย ๆ เพิ่มแบบอื่นเข้าไป

การเริ่มต้นสนทนากับคนที่เราไม่รู้จัก ต้องเริ่มจากการทักทายแล้วบอกเขาว่าเราเป็นใครก่อน พูดไปเลยง่าย ๆ ว่า
-          Good morning (หรือ Good afternoon, good evening ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเช้า บ่ายหรือเย็น) แล้วก็ต่อว่า I’m Tony. (ยื่นมือให้เขาจับด้วยก็ดี) And you ? (แล้วคุณล่ะ) การเข้าไปทักเขาต้องหาโอกาสดี ๆ ด้วย ถ้าเขากำลังยุ่งอยู่ก็อย่าไปกวนเขา เดี๋ยวแทนที่จะได้เพื่อนกลับได้ศัตรู หาจังหวะตอนเขาว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำก็แล้วกัน

-          ถ้าเขาเป็นฝรั่งที่มีมารยาท เขาก็จะทักทายกลับ เช่น Good morning (ถ้าเขาจะเปลี่ยนเป็น Hi หรือHello ก็ไม่ต้องตกใจจนเสียสติ) แล้วก็แนะนำตัวเอง เช่น I’m Harry. Glad to know you. หรือ Nice to meet you.

-          พอเขาตอบว่ายินดีที่ได้รู้จัก ก็ไม่ต้องคิดมาก พูดซ้ำประโยคเขาเลย ว่า Glad to know you, too. หรือNice to meet you, too. เติม too ที่แปลว่า "ด้วย" เข้าไปหน่อย ทีนี้ก็ต้องหาเรื่องพูดต่อ เอาเรื่องง่าย ๆ เข้าไว้ก่อน เช่น ถามเขาว่าทำงานหรือเรียน Are you working here? Or you are a student? (ขึ้นเสียงสูงท้ายประโยคด้วย)

-          Well, I’m a computer graphic designer. คนส่วนใหญ่ที่ทำงานแล้วมักจะภูมิใจในหน้าที่การงานตน อยากอวดนั่นเอง ดังนั้นพอถามเรื่องงาน เขาก็มักจะรีบบอกว่าเขาทำอาชีพหรือตำแหน่งอะไร คนนี้เป็นนักออกแบบคอมพิวเตอร์กราฟิก

-          Oh, great! เยี่ยมเลย ชมเขาหน่อย แล้วเราค่อยบอกว่าเราทำงานอะไร เช่น I’m a manager (หรือ an employee ลูกจ้าง) in a company. เป็นผู้จัดการบริษัท ถ้าพูดแค่นี้ก็จะเปิดช่องให้ฝรั่งถามต่อ เพราะฝรั่งมีความอยากรู้อยากเห็นมากกว่าคนไทย ถ้ากลัวว่าฝรั่งจะถามแล้วฟังไม่ออกก็ชิงความได้เปรียบด้วยการต่อท้ายประโยคอีกสักนิดว่า Company เราทำอะไรเสียเลย เช่น A software development company (บริษัทพัฒนาซอฟต์แวร์), cosmetics company (บริษัทขายเครื่องสำอาง), advertising company (บริษัทโฆษณา) หรือจะพูดเป็นประโยคง่าย ๆ ก็ได้ว่า We sell … เพราะบริษัทส่วนใหญ่ก็ขายของอยู่แล้ว ถ้าขายหนังสือ ก็บอกว่า We sell books. หรือ We sell business software solutions. เราขายโปรแกรมซอฟต์แวร์สำหรับทำธุรกิจ เป็นต้น ลองไปสำรวจดูว่าผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองขายอยู่ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร ถ้าไม่รู้ก็ถือว่าไม่ใส่ใจในสินค้าตนเอง พฤติกรรมนี้ไม่ดี

ลองมาสรุปอีกที
-          Good morning. I’m Tony. And you? {กึดมอร์นิง อัมโท้หนี่ แอนยู้}
-          Hi. I’m Harry. Glad to know you. {ไฮ อัมแฮหรี่ แกลดทุโนวยู}
-          Glad to know you, too. Are you working here? Or you are a student? {แกลดทุโนวยูทู่ อาร์ยูเวิร์กกิงเฮี๊ยร์ ออร์ยูอาร์ เอ สทิวดึ้นท์}
-          Well, I’m a computer graphic designer. {เวล อัมเอคัมพิวเทอร์ แกรฟฟิก ดีไซเหน่อร์}
-          Oh, great! I’m an employee in a company. A software development company. We sell business software solutions. {โอ เกรท อัมแอนเอมพลอยยิ อินเอคัมพะหนี่ เอ ซอฟท์แวร์คัมพะหนี่ วีเซลบิซิเนสซอฟต์แวร์โซลุชึ่นส}

ถ้ารู้สึกว่าหมดมุข นึกอะไรไม่ออก ก็ถอนทัพกลับได้แล้ว กลับบ้านไปเตรียมตัว แล้วค่อยกลับมาคุยใหม่ก็ได้ แล้วจะถอนตัวยังไงล่ะ หลายคนเปิดบทสนทนาได้ แต่ปิดไม่เป็น เอาง่าย ๆ เลยพูดว่า

-          Well, I’ve got to go. Glad to meet you and hope to see you again. {เวล อัฟก็อตทุโก แกลดทุมีททิว แอนด์โฮปทุซียูอะเกนเอ่อ ต้องไปก่อนแล้ว ดีใจที่ได้พบคุณและหวังว่าจะเจอกันอีก
-          Thank you. See you later. {แธงกิว ซียเลเทอร์ขอบคุณ แล้วเจอกัน

ปิดแล้วปิดเลย เดินจากไปอย่างมาดมั่น อย่าทำเงอะ ๆ งะ ๆ หันรีหันขวาง ประเภทอยากคุยต่อแต่ไม่รู้จะคุยอะไรนั้นอย่าทำ ฝรั่งค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนตัวสูง ถ้าไม่มีเรื่องคุยแล้วจะอยู่ทำซากอะไร ไว้วันหน้าเจอกันแล้วค่อยคุยกันต่อก็ได้
เมื่อเราต้องเริ่มเรียนภาษาอังกฤษกับครูชาวต่างชาติ พูดคุยกับเพื่อนฝรั่งทั้งต่อหน้าและผ่านการ chat การทักทายเป็นภาษาอังกฤษ (casual greeting) คือสิ่งแรกที่เราต้องทำ
ปัญหาคือ เด็กไทยจะถูกสอนให้ตอบคำถาม How are you today? ด้วย I’m fine thank you and you? (เสียงสูง) เสมอ ตั้งแต่สมัยเด็กประถมยันจบมัธยมเลยทีเดียว ราวกับว่าไม่มีวิธีอื่นในการทักทายเป็นภาษาอังกฤษอีกแล้ว
เริ่มคุ้นหูกันแล้วใช่มั้ยครับ ที่จริงแล้วการถามคนอื่นว่า”สบายดีไหม” ก็ไม่ได้มีแต่ How are you? และการตอบว่า”สบายดี” ก็สามารถใช้ประโยคอื่นได้มากมายที่ไม่ใช่ I’m fine
greeting2-opt

จะทักทายเป็นภาษาอังกฤษอย่างไร?

สำหรับการถามว่า สบายดีไหม นอกจาก How are you? ที่แสนจะเชยระเบิดแล้ว ยังสามารถใช้คำพวกนี้ได้ด้วย
1. What’s up? – ทักทายเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน
2. How’s it going? – สำหรับ “it” ในที่นี้หมายถึงชีวิตของเรา ถามแบบนี้จะประมาณว่า ชีวิตเราเป็นไงบ้าง
3. How was your day? – ใช้ได้กับผู้คนทุกเพศทุกวัย ถามว่าวันนี้เป็นไงบ้าง

จะตอบคำทักทายอย่างไร?

วิธีตอบ ขอแบ่งเป็นหมวดหมู่ตามอารมณ์นะครับ
1. สบายดี
Wonderful! / Fantastic! / Great! – ถ้าอารมณ์ดีสุดๆก็ตอบไปด้วยรอยยิ้มได้เลยครับ

Not bad
 – ใช้แล้วฟังดูดีกว่า I’m fine เพราะพูด fine เฉยๆอาจฟังเหมือนเราไม่อยากคุยต่อ 


Pretty good, thanks
 – เป็นภาษาพูดที่ฟังดูเป็นกันเองมากกว่า “Very well, thanks” ตามที่หนังสือพร่ำสอนเราอยู่เสมอ


Couldn’t be better
 – แปลว่า ดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว เราอาจเจอเรื่องดีสุดๆมาก็ได้
2. ก็ ok นะ
Nothing much – คำตอบสุดฮิต อาจเสริมต่อด้วยสิ่งที่น่าสนใจก็ได้ เช่น
“Nothing much. Just getting ready for my TOEIC test.”


Just the casual
 – ใช้ในกรณีที่เราทำสิ่งเดิมๆทุกวัน


Same old, same old
 – ใช้ตอนเราทำแต่เรื่องเดิมๆในแต่ละวัน แถมเราเริ่มเบื่อซะแล้วสิ
3. ไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย
I’ve been better –  อาจใช้เมื่อตอนเรากำลังเจอเรื่องแย่ๆมา แล้วอยากหาคนระบายให้ฟัง

Not so great
 – ถ้าพูดแบบนี้แปลว่าเราไม่ค่อย happy นัก


Terrible / Bad
 – ใช้ตอนเรารู้สึกแย่สุดๆ แบบเจอมาหนักมาก

Speaking Tips

เวลาตอบสามารถเสริมด้วย You? หรือ How about you? ก็จะทำให้คู่สนทนารู้สึกดีขึ้นได้ แสดงว่าเราก็เอาใจใส่เค้าเหมือนกันนะ การถามกลับจะทำให้การสนทนาเกิดขึ้นต่อเนื่อง เช่น

A: Hi, Wendy. How’s it going?

B: Pretty good, thanks. I’m going to the theaters today. How about you?
A: Oh, you know. It’s same old, same old.
การทักทายเป็นภาษาอังกฤษหรือ casual greeting นั้นต้องรู้ไว้ครับ ไม่งั้นขืนเจอฝรั่งทักมา ตอบไปว่า I’m fine thank you and you? เชยสุดๆเลย
ติดตามเทคนิคการใช้ภาษาอังกฤษดีๆแบบนี้ได้ที่ DailyEnglish ครับ 
2
ความหมายที่เกิดจากการใช้ขนาดภาพ  มุมกล้อง  การเคลื่อนที่ ล้วนเป็นภาษาสากลซึ่ง
คนทั้งโลกดูแล้วเข้าใจได้ตรงกัน  คนส่วนใหญ่สื่อสารกับภาษาภาพในภาพยนตร์โดยไม่รู้ตัว  แต่สำหรับคนที่ต้องทำงานอยู่เบื้องหลังแล้ว
การไม่รู้หลักการใช้ภาพในการสื่อสารความหมายและอารมณ์ความรู้สึกก็คงไม่ต่างจากคนที่ขับรถโดยไม่รู้ว่าอุปกรณ์ต่างๆในรถ
มีหน้ที่ทำงานอย่าางไร
      บทภาพ คือภาษาเขียนในบทแอนิเมชั่นจะถูกแปลเป็นภาษาภาพ  โดยเน้นให้ได้ความหมายที่ชัดเจน  ควบคู่ไปกับอารมณ์ของภาพ
ที่ทะลุทะลวงไปยังผู้ชม  ไม่ว่าเศร้า  ตื่นเต้น  น่ากลัว ชวนหัว  หรืออื่นๆ
      องค์ประกอบหลักๆ ในภาษาภาพมีอยู่สามอย่าง ได้แก่  หนึ่ง ขนาดภาพ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็อาจเปรียบได้กับพยัญชนะในภาษาไทย
สอง มุมกล้อง ซึ่งอาจเปรียบได้กับสระ และสาม การเคลื่อนกล้อง ซึ่งก็คงเหมือนกับวรรณยุกต์ เมื่อนำองค์ประกอบทั้งสามมา
ประกอบเข้าด้วยกัน ก็จะได้หนึ่งภาพ เป็นเสมือนหนึ่งคำที่สมบูรณ์ด้วยความหมายและอารมณ์ความรู้สึก

1. ภาพไกลมาก หรือ Extreme Long Shot (EXS) 
    เป็นขนาดภาพที่กว้างไกลมาก ขนาดภาพนี้มักใช้ในฉากเปิดเครื่องหรือเริ่มต้นเพื่อบอกสถานที่ว่า
เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ไหน ปกติฉากที่เปิดโดยใช้ภาพขนาดนี้มักมีขนาดกว้างใหญ่ เช่นมหานครซึ่งเต็ม
ไปด้วยหมู่ตึกสูงเสียดฟ้า, ท้องทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา, ขุนเขาสูงตระหง่าน,ฉากการประจันหน้า
กันในสงคราม, ฉากการแสดงมหกรรมคอนเสิร์ต ฯลฯ
    จุดเด่นของภาพ Extreme  Long  Shot อยู่ตรงความยิ่งใหญ่ของภาพ  ซึ่งสามารถสร้างพลัง
ดึงดูดคนดูไว้ได้เสมอ
คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่
  
 
2. ภาพไกล หรือ Long Shot (LS)
    เป็นขนาดภาพที่ย่อมลงมาจากภาพ Extreme  Long  Shot คือ กว้างไกลพอที่จะมองเห็น
เหตุการณ์ โดยรวมทั้งหมดได้  เมื่อดูแล้วรู้ได้ทันทีว่าในฉากนี้ ใครทำอะไร  อยู่ที่ไหนกันบ้าง
เพื่อให้คนดูไม่เกิดความสับสนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวละครในฉากนั้นๆ ถือเป็นขนาดภาพ
ที่เหมาะกับการเปิดฉาก หรือเปิดตัวละคร  เพื่อให้เห็นภาพรวม  ก่อนที่จะนำคนดูเข้าไปใกล้
ตัวละครมากขึ้นในช็อต (Shot) ต่อไป
     แต่ในขณะที่เหตุการร์ดำเนินไป  เราก็ยังสามารถใช้ภาพ Long Shot ตัดสลับกับภาพขนาดอื่นๆ
ได้เช่นกัน  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในเรื่อง  ถ้าเป็นช่วงที่ต้องการแสดงให้เห้ท่าทางของตัวละคร
มากกว่าอารมณ์สีหน้าก็ควรใช้ภาพขนาดนี้
คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่
  
 
3. ภาพปานกลาง หรือ Medium Shot (MS)
    เป็นภาพที่คนดูจะไม่ได้เห็นตัวละครตลอดทั้งร่างเหมือนภาพ Long Shot
 แตจะเห็นประมาณ
ครึ่งตัว  เป็นขนาดภาพที่ทำให้รายละเอียดของตัวละครมากยิ่งขึ้น  เหมือนพาคนดูก้าวไปใกล้ตัว
ละครให้มากขึ้น  ภาพขนาดนี้ถูกใช้บ่อยมากกว่าภาพขนดอื่นๆ เพราะสามารถให้รายละเอียด
ได้มากไม่น้อยเกินไปคือคนดูจะได้เห็นทั้งท่าทางของตัวละคร  และอารมณ์ที่ฉายบนสีหน้าไปพร้อมๆ
กัน
คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่
  
 
4. ภาพใกล้หรือ Close up (CU)
    เป็นขนาดภาพที่เน้นใบหน้าตัวละครโดยเฉพาะ เพื่อแสดงอารมณ์ของตัวละครในขณะนั้นว่า
รู้สึกอย่างไรต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพขนาดนี้มักมีการเคลื่อนไหวน้อย เพื่อให้คนดูเก็บรายละเอียด
ได้ครบถ้วน
คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่
  
 
4. ภาพใกล้.หรือ Extreme Close up (CU)
    เป็นขนาดภาพที่ตรงกันข้ามชนิดสุดขั้วกับภาพ Extreme Long Shot คือจะพาคนดูเข้าไปใกล้
ตัวละครมากๆ เช่น แค่ตา ปาก จมูก เล็บ รวมเปถึงการถ่ายสิ่งของอื่น ๆ อย่างชิดติด เพื่อให้เห็น
รายละเอียดกันอย่างจะแจ้ง เช่น ก้อนนำแข็งในแก้ว, หัวแหวน, ไกปืน เป็นต้น เป็นต้น
คลิกเพื่อดูภาพขนาดใหญ่
  
 
การเลือกใช้ขนาดของภาพต้องให้มีความหลากหลาย ระวังอย่าใช้ภาพที่มีขนาดเท่ากันมาเรียงต่อกันบ่อยๆ เพราะจะทำให้งานดู
ไม่น่าสนใจวิธีที่ดีที่สุดในการศึกษาการใช้ขนาดภาพ คือหาภาพยนตร์แอนิเมชั่นที่โปรดปรานมาสักเรื่องเปิดดูอย่างช้าๆ ค่อยๆ
เรียนรู้วิธีการใช้ขนาดภาพ ลองวิเคราะห์ดูว่าทำไมเขาถึงเลือกใช้ขนาดภาพแบบนั้น รับรองในไม่ช้า คุณจะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาก
ที่เดียว
 
  ภาพยนตร์เริ่มต้นจากประดิษฐกรรมประเภทเครื่องเล่น มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นรูปภาพมีอาการเคลื่อนไหว ได้ดุจอาการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ……….เมื่อมีการพัฒนาทางด้านเทคนิค จนทำให้สามารถบันทึกภาพแสดงการเคลื่อนไหวได้อย่างละเอียดและเหมือนจริงยิ่งขึ้น ภาพยนตร์ก็เริ่มพัฒนาการทางด้านเนื้อหาของภาพ จากการแสดงเพียงอากัปกริยาอาการของท่าทางเคลื่อนไหว กลายมาเป็นการแสดงพฤติกรรมอย่างเป็นเรื่องเป็นราวและเมื่อเทคนิคทางกลไกเริ่มเข้าสู่ความสมบูรณ์….ภาพยนตร์ซึ่งกำเนิดจากเครื่องเล่นก็กลายมาเป็นการสื่อสารมวลชนอย่างเต็มตัว
                ผู้ถ่ายทำภาพยนตร์ไม่ใช่เพียงผู้ควบคุมกลไกของกล้องถ่ายภาพยนตร์ ที่ตั้งติดตายอยู่กับที่นิ่ง ๆ ในระดับสายตาเท่านั้นหากแต่ผู้ถ่ายภาพยนตร์ จะต้องเป็นผู้ปรับปรุงและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ของกลวิธีการทางศิลปะสื่อความหมายด้วย ผู้ถ่ายภาพยนตร์คือผู้เลือกสรรจัดแจง ความบังเอิญส่วนเกินอันล้นเหลือตามธรรมชาติแวดล้อม ให้เข้าสู่ความพอดี ด้วยกรอบภาพของกล้องถ่ายภาพยนตร์ใช้กล้องถ่ายภาพยนตร์ประดุจปากกา เพื่อประพันธ์ และสื่อความหมาย ด้วยวิธีการเฉพาะตัว

สามคุณลักษณะพิเศษ ซึ่งผู้ถ่ายภาพยนตร์ใช้ในการสื่อความหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

1.       สื่อความหมายด้วย กรอบภาพ (Frame)
2.       สื่อความหมายด้วย มุมกล้อง (Angle)
3.       สื่อความหมายด้วย การเคลื่อนไหวของกล้อง ( Movement)
ผู้ถ่ายภาพยนตร์ จะต้องเป็นผู้ออกแบบการเล่าเรื่องด้วยวิธีการทั้งสามนี้ ต้องมีศิลปของการเลือกเสนอ งดเว้นไม่เสนอบางอย่าง เพิ่มหรือลดบางสิ่งบางอย่างให้เข้าสู่ความสมดุลย์ จะปล่อยให้เป็นไปอย่างโดยบังเอิญไม่ได้
                Frame หรือกรอบภาพ คือลักษณะจำกัดของภาพยนตร์ ทำให้ภาพที่ต้องการนำเสนอถูกจำกัดอยู่ในขอบเขตใดขอบเขตหนึ่ง แต่ด้วยลักษณะจำกัดนี้เองทำให้ภาพยนตร์มีลักษณะพิเศษในการสื่อความหมายเฉพาะตัวขึ้นมา ผู้ถ่ายภาพยนตร์จะเป็นผู้กำหนดว่า ต้องการให้เห็นส่วนใดบ้าง หรือไม่ต้องการให้เห็นส่วนใด เป็นผู้คัดสรรเฉพาะสิ่งที่ต้องการนำเสนอ กำหนดขนาดภาพกำหนดระยะใกล้ไกล ตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เน้นในสิ่งที่ต้องการเฉพาะเจาะจง เปิดเผยสิ่งที่ต้องการเสนอ ปิดปังส่วนไม่ดีไม่งาม เพื่อไม้ให้เสียสมดุลย์
                              E.C.U                                     ………. Extreme Close Up               ………. ใกล้มาก
                                C.U.                                        ………. Close Up                               ………. ใกล้
                                M.C.U.                                   ………. Medium Close Up               ………. ใกล้ปานกลาง
                                C.S.                                        ……….  Close Shot                           ………. ภาพใกล้
                                M.S.                                       ………. Medium Shot                       ………. ปานกลาง
                                M.L.S.                                    ………. Medium Long Shot            ………. ปานกลางไกล
                                L.S.                                         ………. Long Shot                             ………. ไกล
                                E.L.S                                      ………. Extreme Long Shot            ………. ไกลมาก
                                F.S.                                         ………. Full Shot                               ………. เต็มภาพ
                                  Two Shot                              ………. ภาพสองคน
                                Close Two Shot                   ………. ภาพใกล้สองคน
                                Three Shot                            ………. ภาพสามคน
                                Group Shot                          ………. ภาพทั้งกลุ่ม
บอร์ดภาพนิ่งหรือ สตอรี่บอร์ด (Story Board) สตอรี่บอร์ดคือการเตรียมการนำเสนอข้อความ ภาพ รวมทั้งสื่อในรูปแบบ มัลติมีเดียต่างๆ ลงบนกระดาษ การนำเสนอเนื้อหาและลักษณะการนำเสนอ ขั้นตอนการสร้างสตอรี่บอร์ดรวมไปถึงการเขียนสคริปต์ (สคริปต์ในที่นี้คือ เนื้อหาข้อความในบทเรียน) ที่ผู้เรียนจะได้เห็นบนหน้าจอซึ่งได้แก่ เนื้อหา ข้อมูล คำถาม ผลย้อนกลับ คำแนะนำ คำชี้แจง ข้อความเรียกความสนใจ เสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว (ถนอมพร เลาหจรัสแสง , 2541 : 32 ) การจัดทำสตอรี่บอร์ดที่มีลักษณะมัลติมีเดียนั้นจะต้องมีการออกแบบภาพ ข้อความ เสียง และการเคลื่อนไหวให้เข้ากับเนื้อหาบทเรียน ซึ่งจะต้องผ่านกระบวนการทำงานที่เป็นมาตรฐานในการคิด การสร้างสตอรี่บอร์ดเริ่มต้นด้วย การทำแบบร่างและการจัดวางเบื้องต้น โดยการร่างแบบคือการวาดเพื่อถ่ายทอดความคิดเบื้องต้นด้วยดินสอ หรือปากกาด้วยลายเส้นง่ายๆ หรือใช้คอมพิวเตอร์ในการร่างแบบ เพื่อให้การนำเสนอข้อความและสื่อในรูปแบบต่างๆเหล่านี้เป็นไปอย่างเหมาะสมตามลำดับขั้นตอนบนจอคอมพิวเตอร์
 




 
เสนอแนวคิดในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบด้วยองค์ความรู้จากการค้นพบ
จากการที่ได้สึกปัญหานี้พบว่าคนไทยส่วนใหญ่เกิดจากความไม่มั่นใจในตนเองเลยทำให้ไม่กล้าสนทนาเราจึงคิดว่าควรเเสดงหรือให้ความมั่นใจกับคนไทยมากขึ้นเพราะส่วนใหญ่มีพื้นฐานอยู่บ้าง หรือ อาจจะให้คนไทยได้เข้าใจว่าการพูดผิดนั้นไม่ใช่เรื่องเเปลกหรือเรื่องที่น่าอายอะไรมากนักนั้นซะอีกที่ทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้

นักเรียนได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการเรียนวิชา IS1
ได้รู้จักการใช้ goole drive การใช้ ิblogger ในการเผยเเพร่ข้อมุล รู้ถึงการใช้มุมกล้องเเละขนาดภาพให้ถูกต้อง โปรเเกรมที่ใช้ในการตัดต่อ  การนำเสนอปัญหาที่จะนำมาทำสารคดี 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น